Sunday, 26 June 2011

Arashi WakuWaku gakkou 24/6/2011 Report

Arashi Wakuwaku gakkou(嵐ワクワク学校)


วันที่ 24 มิถุนายน 2011


โตเกียวโดม


วันนี้คิดว่าออกช้าไปหน่อยหนึ่งนะ บ่ายสองกว่าๆ จากบ้านเพื่อนสาว ที่พักอยู่เขตเดี่ยวกับคุณซากุไร มาถึงที่โตเกียวโดม ก็เกือบจะบ่ายสองแวะไปทำธุระนิดหน่อย แล้วก็ข้ามไปต่อแถวซื้อของ คนเยอะมากกกก แถวยาวเหยียด วันนี้อากาศร้อนมาก ราวๆ สามสิบเก้าองศาตอนกลางวัน แต่ตอนไปตั้งแถวนี้ก็บ่ายสามแล้ว และลมแรงมาก เลยค่อยยังชั่วหน่อย แถวที่ยาวเหยียดคดไปมาเป็นงูตัวใหญ่มากนี้ก็เลื่อนไปเรื่อยๆ ได้ มองว่าจะถึงสักกี่โมงแต่ดีนะไม่มีใครเสียมารยาทเค้ามาแทรกระหว่างทางเลย(จริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติของญี่ปุ่น) ไปซื้อสมุดพกนักเรียนหลายเล่มเลย แต่เค้าให้เมล็ดแอปเปิ้ลมาแค่อันเดียวเพราะไม่ว่าจะซื้อจะซื้อเท่าไรก็ได้แค่อันเดียวเท่านั้น เสร็จเรียบร้อยก็เลยเวลาสี่โมงครึงไปแล้ว น้องที่นัดกันไว้ก็โทรมาหา น้องเค้ารออยู่ที่กระไดทางขึ้น ประตูที่ 41(41ゲートスタンド)ที่นั่งก็ไกลพอสมควรชั้นสอง แต่ก็เห็นชัดเจน (พกกล้องส่องทางไกลไปด้วย)


ที่ห้องเรียน (วันนี้มาเป็นนักเรียนโข่งค่ะ) มีรูปของอาจารย์ทั้งห้า ในรุ่นต่างๆ กัน ทั้งห้าคน รูปอยู่ไกลเราพอสมควร ให้กล้องส่องดูก็อดหัวเราะไม่ได้ ไอบะเซนเซ เมื่ออายุมากขึ้นก็หัวเหม่ง และโอโน่เซนเซก็หัวเหม่งเช่นเดียวกัน (ทำไมต้องเหม่งทั้งสองคนนะ งานนี้ขอบอกว่าไปตกหลุมดำของ โอโน่เซนเซเข้าอย่างจัง) เซนเซทั้งห้าเป็น ครูใหญ่รุ่นต่างๆกัน(เอาวันเกิดมาเป็นรุ่นซะงั้น) ข้างในสวยมาก โลโก้ของโรงเรียนอาราชีนี้ค่อนข้างจะประทับใจมาก ไม่รู้ใครดีไซน์นะสวยมากเสียเงินทุกทีเลย เวที(ห้องการเรียนการสอน)อยู่ตรงกลางพอดี มีจอทีวีขนาดมหึมาอยู่ทั้งสี่ด้านบนห้องเรียนที่อยู่กลางโดมนั้น เห็นชัดเจนแน่นอน


เริ่มเรียนกันก็เวลา 17:00 โดยประมาณ เซนเซทั้งห้าคนเดินออกมาทางที่นั่งอยู่พอดี เซนเซใส่เสื้อคลุมสีขาว(เหมือนชุดคุณหมอ) กล่าวสวัสดีทักทายกันเล็กน้อย และเริ่มจาก


1.นิโนะมิยาเซนเซ หัวข้อ DoKiDoKi(ドキドキ)


พูดเรื่องเกี่ยวข้องกับหัวใจและการสูบฉีดของเลือด เซนเซไปตรวจหัวใจของตัวเองที่โรงพยาบาลเป็นเครื่อง CT scan เครื่องทันสมัยใหม่ล่าสุด ร่างกายจะผ่านเครื่องนี้ใช้เวลาแค่ แปดวินาทีเท่านั้น(ตัวเครื่องห่างจากร่างกาย แค่ 5cm(มั้ง) 1doki =70cc


นิโน่เซนเซได้เปรียบกับการสูบฉีดของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ หนึ่งวัน หัวใจเราเต้น103,3572 Doki = เลือดสูบฉีด 7 ตัน


หรือเท่ากัน เราฉีดปืนฉีดน้ำ 875,000 ครั้ง หรือกดแชมพูขวดปั้มจำนวน 4,666,666 ครั้ง หรือโบก เพนไลท์ เป็นรัศมีประมาณ 15cm 66,666,000ครั้ง(ไม่รู้เซนเซเป็น อะไรกับเลข หก ก็ไม่รู้ค่ะ พยายามให้มันลงเลขหก) หรือเท่ากับ เจโฮมมัง(คนที่แสดงเรื่องไคบุซึคุงเป็นแฟรงเก้น)มีเค้ามีความสูง 218cm เอาความสูงมาต่อกัน 4,587,000คน (เรื่องเกี่ยวกับพวกหัวใจเอ่ยอะไรพวกนี้พี่ไม่ค่อยจะมีความรู้หรอกค่ะ เอามาเล่าให้ฟังเท่าที่จำได้) โชจังถามโอจังว่า เจโฮมมังนี้ตัวใหญ่ไหม โอจังบอก ใหญ่มากๆเลยนะ


นิโน่เซนเซยังให้นักเรียนทั้งสี่(เค้าผลัดกันเป็นนักเรียนอาจารย์ด้วยค่ะ) ผลัดกันวิ่งรอบสนามเลย เพื่อเป็นการทดสอบการเต้นของหัวใจ(มั้งค่ะ) สุดท้ายเส้นชัยอยู่ทางตรงหน้าพอดี เห็นโอจัง โชจัง แล้วขำมากเพราะวิ่งด้วยลุ้นไปด้วย แต่ไม้สุดท้ายไอบะจังนั้นไวที่สุด(ไม่ได้อวยก็เหมือนอวยค่ะ เร็วจริงๆ แต่เห็นเหงื่อเยอะสุดเหมือนกัน)


บทสรุปของนิโน่เซนเซ บอกหัวใจของเราก็เหมือนกับร่างกายคนเราก็เหมือนกับโลกเรานี่เอง มีส่วนประกอบไปด้วยน้ำเช่นกัน การรักษาดูแลเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นเดี๋ยวกับการรักษาโลกเรานี้เอง


2. มัสซึโมโต้เซนเซ ในหัวข้อเรื่อง BiriBiri(ビリビリ)เป็นเรื่องเกียวกับการใช้พลังงานของมนุษย์เราค่ะ


เซนเซเล่าเรื่องว่ามนุษย์รู้จักการใช้กระแสไฟฟ้ามาเมื่อ 130ปีก่อน เซนเซพูดถึงเรื่องการใช้ไฟฟ้าของเครื่องอำนวยความสะดวกของมนุษย์เราด้วยค่ะ ตู้เย็น 500w เครื่องซักผ้า 500w เตาปิ้งขนมปัง 1200w แต่วันนี้เซนเซทดสอบการใช้ไฟฟ้าของคนเราโดยให้ปั้นจักรยาน 1Arashi=การปั่นจักรยาน หนึ่งคัน ให้ติดและใช้งานได้ด้วยนะค่ะ


หลอดไฟ = 1 Arashi(Aibachan) ทีวีหนึ่งเครื่อง =2Arashi(Aiba+Nino) ต่อมาทดสอบเรื่องการใช้ไดร์เป่าผมค่ะ แต่มัสซึโมโต้เซนเซบอกว่า ไดร์เป่าผมนั้นให้พลังไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้ถึง 5 Arashi(ช่วยกันปั่นให้เต็มที่เก็บพลังงานให้ถึง 10ขีด ไดร์เป่าผมนั้นจะเป่าได้ก็ต่อเมื่อครบ 10 ขีด ทุกคนเลยตกลงช่วยกันปั้นจักรยานเพิ่มตุนพลังงานไว้ค่ะ มีหุ่นสาว(ตาก็ไม่มีน่ากลัวเชียว ใส่ชุดเซฟุกุด้วย) ทุกคนบอกว่าเป็นน้องสาวของ โอจัง ถามโอจังว่าชื่ออะไร โอจังบอก ชื่อซาโตมิ


ฉะนั้นทุกคนช่วยกันปั้นจักรยานเพื่อที่จะให้ซาโตมิเป่าผมให้แห้งนั้น ทุกคนตั้งใจปั้นกันน่าดู พวกเรา(ที่เป็นนักเรียนช่วยกันปรบมือให้กำลังใจคนปั่นจักรยานกันค่ะ) และในห้องเรียนมีการเปิดเพลง แฮปปี้เนสด้วย ห้าหนุ่มของเราปั้นจักรยานตามจังหวะด้วยความสนุกสนาน(หรือเหน็ดเหนื่อย) เมื่อเต็มครบ สิบขีดแล้วก็พัก เพื่อจะไปดูว่าเครื่องเป่าผมนั้นจะใช้ได้นานเท่าไร เริ่มเปิดสวิทย์ไดร์เป่าผม นิโน่เป็นคนจับเวลาว่า ไดร์เป่าผมจะใช้เวลาได้นานซักเท่าไร สรุป ไดร์เป่าผมนั้นใช้เวลาเป่าผมของซาโตมิแค่ 9 วินาทีเท่านั้นค่ะ โอจังแอบบ่นว่า ผมน้องสาวเค้ายังไม่ทันแห้งเลย(หุ่นซาโตมิ)


บทสรุป ของ มัสซึโมโต้เซนเซก็คือเรื่องการใช้พลังงาน ควรจะปิดสวิทย์ที่เราไม่ได้ใช้ทุกครั้ง และเล่าเรื่องการใช้พลังงานและการพัฒนาการใช้พลังงานในด้านต่างๆ ให้ประหยัดพลังงานให้มากที่สุดเท่าที่เราจะช่วยกันทำได้ ประเทศเยอรมันมีถึง 950บริษัท ที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้พลังงานแสงอาทิตย์


เซนเซเล่าเรื่องการหาพลังงานมาใช้ทดแทนเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากลม และสุดท้ายของหัวข้อนี้


Happiness= 9 วินาที


3. ไอบะเซนเซ หัวข้อเรื่อง PakuPaku(パクパク)


ก่อนเริ่มต้นไอบะเซนเซถามเรื่องการกินของทุกคนค่ะ และเริ่มต้นด้วยการทำอาหารให้กับนักเรียนทั้ง สี่คน ง่ายๆ คงจะเรียกหมูผัดขิงก็ได้นะ มี สูตรดังนี้ค่ะ(ปริมาณไม่บอกก็แล้วกันจำไม่ได้) ส่วนประกอบจำได้(จดด้วยค่ะ) มี หอมหัวใหญ่ เนื้อหมูสันใน(มั้ง) เหล้าสาเก โชยุ ขิงบด น้ำผึ้ง(สูตรพิเศษของไอบะเซนเซค่ะ) เริ่มจากการผัด ใส่น้ำมันพอประมาณ หอมหัวใหญ่ผัดให้สลด เอาหมูใส่ ย่างให้เนื้อมันสุกเล็กน้อย เติมสาเก โชยุ และขิงบดลงไป สุดท้ายก็น้ำผึ้งค่ะ นิโน่ช่วยเตรียมข้าว (มีการจัดเตรียมนมขวดให้นักเรียน แหมเหมือนที่โรงเรียนประถมเลยนะค่ะ) นักเรียนได้รับประทานอาหารอย่างอร่อยกันเลย ไอบะเซนเซพยายามถามอยู่หลายรอบว่าอร่อยกันหรือเปล่า ทุกคนบอกว่าอร่อย(ประมาณเซนเซบังคับให้บอกว่าอร่อยมากๆเลยนะ) สุดท้ายเซนเซก็บอกว่า กว่าจะได้หมูที่อร่อยออกมาทุกคนรู้หรือไมว่ากว่าจะมาเป็นอาหารให้เราได้ทานนั้น เป็นอย่างไงกันบ้าง ชม วีทีอาร์ก่อน


ไอบะเซนเซได้ไปที่ฟาร์มเลี้ยงหมูที่ ฮอกไกโด ซึ่งมีเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ประมาณ ห้าโตเกียวโดม(นึกไม่ออกก็นึกว่ามีโตเกียวโดมห้าอันติดกันแล้วกันนะค่ะ) ฟาร์มนี้เป็นการเลี้ยงแบบเปิดมาก โดยให้หมูอยู่กันอย่างอิสระ(ในเขตฟาร์ม)ไม่ได้เลี้ยงในคอกเล็กๆ นอกจากน้องหมูเกิดใหม่ที่ต้องอยู่ในความดูแลของแม่หมูเท่านั้นนะค่ะ


ไอบะเซนเซได้ไปดูหมูรุ่นต่างๆกัน ตั้งแต่ เกิด สองเดือน และรุ่นที่โต สิบแปดเดือนที่ต้องเข้าโรงฆ่าหมู ไอบะเซนเซช่วยเค้าทำงานหนึ่งวันตั้งแต่เริ่มจนจบเลยค่ะ ช่วยเค้าทำความสะอาดคอกหมู เก็บขี้หมูทิ้ง และเจ้าของฟาร์มพาไปดูน้องหมูเกิดใหม่ที่ยังอยู่ในความดูแลของแม่หมูอยู่และกินนมกันอยู่เลย คุณลุงอุ้มเจ้าลูกหมูตัวเล็กให้กับไอบะเซนเซอุ้ม สักพักเจ้าลูกหมูตัวน้อยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ไกลจากแม่ และรู้สึกกลัวก็เริ่มร้องเสียงดัง และดังมาก จนต้องปล่อยไปคืนแม่หมู แม่หมูเอง ก็โกรธวิ่งพุ่งเค้าใส่(แต่มีรั้วกั้นอยู่ค่ะ) ไอบะเซนเซ และ พี่เองคิดเหมือนกัน ขนาดสัตว์ก็ยังรู้สึกหวงและรักลูกขนาดนั้น และต่อด้วยมาดูหมูอายุ สิบแปดเดือนที่กำลังจะส่งเข้าโรงเชือด ลุงเจ้าของฟาร์มบอกให้ ไอบะเซนเซเป็นคนเลือกหมูสิบตัวเพื่อเข้าโรงเชือดวันนี้ ไอบะเซนเซ(ของพี่) ทำหน้าตกใจและสลดมาก ที่ต้องเป็นคนที่เลือกหมูเข้าโรงเชือด ในขณะที่ไอบะเซนเซจับสเปรย์สีแดงเพื่อทำการมาร์ค ว่าเลือกตัวนี้เข้าโรงฆ่าสัตว์นั้น มีหมูหนุ่มในกลุ่มที่ลุงว่าต้องเลือก เอาไปโรงเชือดนี้ เข้ามาหาไอบะเซนเซด้วยความเป็นมิตรมาก เข้ามาทักทาย(อันนี้พี่ร้องไห้น้ำตาไหลโดยอัตโนมัต แม้แต่ตอนนี้นึกน้ำตาก็ยังไหล) ไอบะเซนเซบอกเค้าทำไม่ได้ แต่ลุงบอกวันนี้เป็นหน้าที่ของไอบะเซนเซที่ต้องเป็นคนเลือก เซนเซทำใจอยู่นาน (พี่เห็นหน้าแล้วยิ่งน้ำตาไหล)ด้วยความจำเป็นที่จะต้องทำ หมูเมื่อรู้ว่ากำลังจะถูกฆ่าต่างก็วิ่งหนีเพื่อไม่ให้โดนฉีดสเปรย์ ต้องเข้าใจนะค่ะ ทุกชิวิตก็ย่อมรักชีวิตและพยายามที่จะเอาชีวิตรอดด้วยกันทั้งนั้น ในที่สุดเซนเซ ก็เลือกสิบตัวได้ด้วยความทุลักทุเล และข่มขืนใจเป็นที่สุด ถึงเวลาที่ต้องต้อนหมูขึ้นรถ เจ้าหมูหนุ่มทั้งหลายที่ถูก มาร์คด้วยสีสเปรย์ วิ่งกันไม่คิดชีวิต เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายนะค่ะ กว่าจะสำเร็จลงได้นั้น ทำเอาทั้งใจในโดมและตัวไอบะเซนเซนั้นรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก จบวีทีอาร์ ไอบะเซนเซบอกกับนักเรียนทั้งสี่คนว่า หมูที่ทานไปเมื่อกี้นั้นก็คือพวกหมูในวีทีอาร์นั้นแหละ


ไอบะเซนเซบอก อาหารที่ทำมาด้วยความรักและถนุถนอมและอยุ่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อมาเป็นอาหารของพวกเราทุกคน ชองให้ความสำคัญกับอาหารที่เรากินทุกครั้งด้วย ทุกวันนี้มนุษย์บริโภคอาหาร เป็นจำนวนมาก และมีประชากรในโลกนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน เฉพาะญี่ปุ่นนั้น บริโภคข้าวถึง 1900ตัน(ต่อปีหรือเปล่านะจำไม่ได้แล้ว) เราควรจะคิดตอนที่เรากินด้วยว่า กว่าจะปลูกข้าว ผัก เนื้อสัตว์ได้นั้นต่างใช้เวลาและความเอาใจใส่เป็นเวลานาน พวกเราควรจะกล่าวคำขอบคุณเมื่อเวลาทานอาหารเสร็จแล้ว ด้วยความรู้สึกที่ขอบคุณจริงๆด้วยนะค่ะ เวลาคุณทานอาหารเรียบร้อย ควรกล่าว GochiSousama arigatou(ごちそうさま ありがおう)เพื่อเป็นการขอบคุณ ทุกๆคนที่ช่วยกันทำอาหารให้เราได้กินและเพื่อดำรงชีวิตต่อไปได้ สุดท้าย นิโน่ก็กล่าวขอบคุณที่ไอบะเซนเซได้นำเรื่องราวนี้มานำสอนให้พวกเราให้รุ้กัน ส่วนตัวพี่เองรู้สึกบอกไม่ถูก เห็นหน้าน้องหมูไม่อยากกินเลย เนื้อหมู แต่ชอบไส้กรอกมาก(วันนี้วันพระพอดี วันนี้เลยกินเจค่ะไม่ได้ทานเนื้อสัตว์พอดี)


4. ซากุไรเซนเซ หัวข้อ Pachi Pachi(パチパチ)


เซนเซกล่าวถึงเราควรจะการปรบมือคนที่ทำดีกัน วันนี้เซนเซแต่ตัวเป็น ด๊อกเตอร์อะไรซักอย่าง(พี่ก็จำชื่อไม่ได้แต่เคยเห็นในโฆษณาเหมือนกันค่ะ) เซนเซจมูกโตนี้ออกไปที่สถานีรถไฟ ซุยโดบาชิ สถานีรถไฟหน้าโตเกียวโดมนี้เองค่ะ เซนเซจมูกโต เดินข้ามทางม้าลายที่มีไฟแดงอยู่นั้น บอกว่า


รู้ไหมว่าไฟแดงหนึ่งอันนั้น มีไฟดวงเล็กๆมากมายประกอบอยู่เป็นการคิดที่ยอดเยี่ยมมากให้พวกเราปรบมือ(ในโดมช่วยกันปรบมือค่ะ) แล้วก็มี ตัวเลขขึ้นด้วยว่าได้กี่ Pachi


บรรได นั้น มีที่จับสองแถวนั้นเพื่ออะไร คำตอบคือ อันข้างบนนั้นสำหรับผู้ใหญ่ และอันที่อยูรองลงมานั้น เป็นราวสำหรับให้เด็กจับค่ะ ซากุไรเซนเซบอก เค้าคิดได้ถึงขนาดนี้ใส่ใจกับทุกเพศทุกวัย เราควรชมเชยเค้าด้วยการปรบมือ (เอ้าปรบมือกันอีก)


ถุงกระดาษตรงขอบถุงนั้นทำไมจะต้องทำให้เป็นซิกแซกด้วย คำตอบก็เพื่อไม่ให้บาดมือค่ะ คิดได้อย่างไงเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนี้ ใจดีมากๆ พวกเราควรจะปรบมือเพื่อเป็นการขอบคุณคนคิดด้วย(ปรมมือกันอีกแล้วค่ะ)


ซากุไรเซนเซบอกเรื่องที่ใกล้ตัวของพวกเรามากที่สุดตอนนี้ คือหลังคาโดม(โตเกียวโดม) มีพื้นที่ ทั้งหมด28,592ตารางเมตร และทำความสะอาดกันปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น การใช้เวลาทำความสะอาดให้พนักงานถึง 30คน ทำงานวันละ 8ชั่วโมง ใช้เวลา หนึ่งเดือนถึงจะเสร็จเรียบร้อย พวกเราควรจะปรบมือให้คนทำด้วย(ปรบมือกันอีกค่ะ เจ็บมือจริงๆ แต่รู้สึกดีมากกก)


ทีมงานที่เค้าทำการเปลี่ยนล้อรถใน เอฟ วันนั้น ก็ต้องทำงานเป็นทีมในเวลาที่จำกัดมากก ถ้าพลาดไปแม้แต่นิดเดียวนั้นก็หมายถึงชีวิต การให้กำลังใจกันนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ


สุดท้าย ซากุไรเซนเซบอก ทุกคนที่เข้าร่วมงานแชร์ลิตี้ในครั้งนี้(เข้าโรงเรียน)ทั้งหมด สามวัน ห้ารอบ รอบละ 45,000คน รวม 225,000คน และเงินรายได้ นำไปเพื่อให้กับคนที่กำลังลำบากกัน ควรปรบมือให้กับตัวเองด้วยค่ะ ปรมมือกันค่ะ ช่วยกันปรบมือมาก บทสรุป ซากุไรเซนเซบอก การปรบมือควรจากมาจากหัวใจเสมอ(itsumo kokoro ni pachi pachi いつも心にパチパチ)


5. โอโน่เซนเซ หัวข้อ MochiMochi (モチモチ)


โอโน่เซนเซพูดถึงการพูดคุยติดต่อสื่อสารกันค่ะ การใช้โทรศัพท์เมื่อเริ่มต้นนั้น ไม่ได้เป็น โมชิโมชิ(คนญี่ปุ่นรับโทรศัพท์ ก็ต้องโมชิโมชิ) สมัยก่อนโน้น จะเรียกคนอื่นก็แค่ โอ้ย โอ้ย(おいおい) คนที่ขานรับก็บอก ไฮ โมชิอะเกมัสสุ(はい、申上げます) แต่พอพูดไปพูดมาก็กลายเป็น โมชิโมชิ จนใช้กันในปัจจุบันนี้แหละค่ะ ของโอโน่เซนเซเป็นตอนที่นักเรียนในห้องเรียนทุกคนนั้นสนุกมากๆ ค่ะ โอโน่เซนเซบอกพวกเราควรจะทักทายกัน ให้ทักทายคนที่อยู่ข้างๆเราด้วย จับมือกันทั้งสองข้าง จับมือกัน และให้ยกขึ้นด้วย รอบโดมเลย สวยมาก(โอโน่เซนเซบอก เห็นด้วยค่ะ) ต่อมาก็มี โอโน่โค๊ดกันอีก พวกเราโดนโอโน่เซนเซ สะกดจิตกันค่ะ เซนเซทำท่ายังกะร่ายมนต์ ตลกมากหัวเราะกันท้องแข็งไปหมด มีการทำหน้าทำตาด้วยสนุกและตลกจริงพวกเราถูกสาปให้ยกมือกันค่ะ และที่นี้โอโน่จะสะกดจิตให้ยกมือกันรอบห้องเรียนเลย(รอบโดม) พวกเราทำกันด้วยความสนุกสนานไม่รู้ถูกสะกดจิตหรืออยากทำก็ไม่รู้ สุดท้าย นิโน่บอกไม่ใช่อยากจะทำเวฟ เหมือนในคอนเสิร์ตหรอกหรือ (จริงด้วย) โอโน่เซนเซให้นักเรียนสี่คน กล่าวขอบคุณเพื่อน โดยเลือกให้จุนไปผุ้รับการขอบคุณ(อันนี้ไม่ได้เตี้ยมกันมาก่อนเลย สดๆ) จุนก็ตกใจเล็กน้อยค่ะ โอโน่เซนเซ ให้ จุนคุง ไปยืนอีกที่หนึ่งเป็นเวทีเล็กๆ ที่เค้าเอามาตั้งตอนไหนไม่รู้เหมือนกัน และให้ทั้งสามคนนั้นกล่าวคำขอบคุณ


โชจัง โชจังกล่าวขอบคุณจุนคุงสำหรับของขวํญวันเกิดซึ่งเป็นถุงมือ(จำไม่ได้เหมือนกันว่าปีไหน) โชจังบอกถุงมือนั้นมันอุ่นมากขอบคุณจริงๆ


นิโน่ นิโน่กล่าวขอบคุณหลายๆเรื่องตั้งแต่รู้จักกันมาเป็นเวลาสิบห้าปี


ไอบะจัง ไอบะจังขอบคุณ จุงคุง ที่คอยดูแล เอาใจใส่ไอบะจังเวลาไอบะจังหลงลืมบนเวทีคอนเสิร์ต คอนเตือนเมื่อไอบะจังลืมนะค่ะ จุนคุงเป็นคนจริงจังในเรื่องงานและใส่ใจทุกๆคน ขอบคุณมากก


โอโน่ซัง โอจังบอกจำได้เสมอตอนที่โอจังเล่น บุไต เมื่อห้าปีก่อน จุงคุงไปดูบุไต และรู้ว่า โอจังเจ็บคอหรือปวดหัวมาก(อาจจะเครียดตอนเล่นละครเพราะต้องใส่อารมณ์ หรือเรื่องอะไรก็ไม่รู้ค่ะ) จุนคุงเอายาให้กับโอจัง โอจังยังไม่กินยาตอนนั้น จุนคุงกลับบ้านไป ยังโทรศัพท์ให้ โอจังอย่าลืมกินยาอีก(น่ารักกกกมากก ) ขอบคุณจริงๆ


โอโน่เซนเซ มีเซอร์ไพร์ซด้วยการโทรศัพท์ไปหาคนในโดมด้วยค่ะ โทรไปเบอร์ไหนให้รับ ทุกคนเปิดโทรศัพท์กันใหญ่เลยค่ะ ไหนได้โทรศัพท์ที่เบอร์ที่โทรไปนั้น ซ่อนติดอยู่ใต้ที่นั่ง(ทีแรกเข้าใจว่า โทรไปหาเบอร์น้องเค้าค่ะ) ผู้โชคดี ชื่อน้องยูกิ มาจากจังหวัดไซตะมะ ค่ะ โอจังบอก โทรศัพท์อันนี้ยกให้เป็นโทรศํพท์ที่ทำเป็นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะค่ะ มีโลโก้อยู่บนหน้าจอด้วยค่ะ น้องยูกินี้พูดไม่ออกซักคำคงจะตกใจปนกับความดีใจด้วยค่ะ โชจังถามน้องว่าชอบใครมากที่สุดในวง น้องเค้าบอก โอโน่ซังค่ะ ทั้งโอจังก็รู้สึกดีใจ(อย่างเห็นได้ชัด) ช่างเหมาะเลยเกิน โชจังถามน้องยูกิว่า อย่างจะถามอะไรโอจัง น้องเค้าบอกไม่รู้จะถามอะไร มืดแปดด้านไปหมดเลย(เข้าใจค่ะ เข้าใจมากๆ เวลานั้นพูดเป็นภาษาคนได้ก็ดีแล้วค่ะ น้องเค้าเกือบพูดจะไม่ออก)


บทสรุปของโอโน่เซนเซคือ 大切な人にありがとう(Taisetsuna hito ni Arigatou) ควรจะกล่าวคำขอบคุณคนสำคัญ


การติดต่อสื่อสารนั้นจำเป็น การพูดคุยกัน ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ สมัยนี้ยุคการติดต่อสื่อสาร เราควร tsunagaru(つながる)การสารสัมพันธ์เป็นเรื่องที่พวกเราควรจะทำค่ะ


สุดท้ายเซนเซใจดี และให้พวกเราร้องเพลงร่วมกันด้วยค่ะ ฟุรุซาโต้ บ้านของเราควรให้ความสำคัญด้วยนะค่ะ


งานครั้งนี้ประทับใจมากกกก และของให้บุญกุศลที่ได้ร่วมทำกับอาราชี ขอให้เราได้ไปงานคอนเสิร์ตด้วยยเถอะ

5 comments:

Kazu said...

อ่านแล้วแทบจะพูดไม่ออก บอกไม่ถูกเลยค่ะ ดีมากๆเลย โรงเรียนอาราชิ ให้แง่คิดหลายๆอย่างที่เราหลงลืมกันไป เช่น การปรบมือชมเชยให้กำลังใจกัน การขอบคุณ การพูดคุยสื่อสาร แต่ที่ต้องน้ำตาตกไปด้วยก็เรื่องน้องหมูค่ะ ไอบะจังซึ่งเป็นคนรักสัตว์ขนาดนั้น ต้องถูกบังคับด้วยหน้าที่ให้ต้องเลือกหมูด้วยมือของตัวเอง ขนาดเรายังทำใจไม่ได้เลย ไอบะจังคงจะเสียใจมากแน่ๆ ยิ่งมีหมูวิ่งมาทักทายด้วยแล้ว ไม่อยากจะนึกภาพเลยค่ะ T..T
ตื่นเต้นแทนน้องยูกิที่ได้โทรศัพท์พิเศษจากโอจังด้วย เป็นเรานอกจากพูดไม่ออกแล้วคงต้องร้องไห้ออกมาอีกรอบแน่แต่คราวนี้เป็นน้ำตาแห่งความสุข
ได้ฟังเสียงเพลง ที่กล่าวถึงก่อนจะจบ(จำชื่อเพลงไม่ได้)จากที่มีคนเอาเผยแพร่ ได้ยินเสียงอาราชิ และเสียงคนดูด้วย โชคดีจังเลยนะคะได้ร้องเพลงร่วมกันด้วย
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่มีคุณค่านี้นะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ

Unknown said...

วันนี้มาที่โตเกียวโดมอีกรอบหนึ่ง เปลี่ยนแผนการกระทันหัน เพราะ ฝนทำท่าจะตกและก็อยากจะได้ของอะไรบางอย่างด้วย เลยมาซื้อของอีกครั้ง เห็นคนเปิดขายตั๋วอยู่ก็เลยเค้าไปถามดู อยากดูที่ใกล้ๆ เท่าไรเหรอ เค้าบอก สามหมื่นเยน เราบอกว่ามีงบแค่นิดเดียว(จริงๆ ดูแล้ว)แต่ถ้าราคาไม่แพงเกินไปประมาณสักหกพักก็จะดู คนขายบอก มีเจ็ดพันชั้นสอง เลยบอกว่าเดี๋ยวขอคิดดูก่อน

มันเป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ ค่ะ เรื่องที่สอนกลายเป็นเรื่องที่หายๆ มองข้ามไป

ไอบะเซนเซนั้น รู้สึกเช่นเดียวกับเรา เห็นแบบน้ำตาไหลโดยอัตโนมัติ เลย ไม่ว่าใครก็รักชีวิตของตัวเองแทบทั้งนั้น
แต่ต้องทำค่ะ เพราะมันเป็นอาหารของมนุษย์(จริงๆ มนุษย์นั่นแหละที่เห็นแก่ตัว)
ทุกครั้งที่ดูไอบะจัง ทำให้รักมากขึ้นทุกวันเพราะเค้าเป็นคนใจดีนี่แหละค่ะ

Unknown said...

เพลง ฟุรุซาโต้(Furusato/ ふるさと)เพลงที่ทำให้คนเราสำนึกรักบ้านเกิดค่ะ

noonook said...

เซนเซย์ทั้งห้าคนสุดยอดมากเลยค่ะ
ถ่ายทอด ความรู้ และ อะไรหลายๆ อย่าง ในการดำเนินชีวิต และการรู้จักใช้พลังงานจากธรรมชาติที่กำลังจะถูกลบเลือนหรือลืมกันไป..

แค่ได้อ่านก็ประทับใจมากมาย (เสมือนได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจิงๆ)

ขอบคุณพี่น้องมากๆ เลยนะค่ะ เอาเรื่องราวที่ไปเจอมา มาถ่ายทอดให้ได้อ่านกันอีกที..(ไดสุกิ พี่น้อง..อิอิ)

ปล.ไอบะเซนเซย์ ท่าทางจะเหงื่อออกเยอะจิงๆ แหละ เพราะตอนวิ่งเช็คหัวใจ กับตอน ปั่นจักรยาน คงเหนื่อยน่าดู....55555+ (อยากช่วยซับเหงื่อให้จัง >,<)

Um_S-C said...

ขอขอบคุณ พี่น้อง มากมายเลยค่ะ สำหรับ เรื่องเล่าที่แสนจะประทับใจนี้ อ่านเรื่อง ARASHI Gakkou นี้จากหลายๆที่ทุกๆคนที่ได้ไปงานนี้มาจะประทับใจในตัวของทั้ง 5 หนุ่ม ARASHI กันทุกๆคน

ทุกๆคนน่ารักมาก และ พวกเค้าก็รักกันมาก อยากจะบอกว่า ตัวเอง ก็ รัก และ ชื่นชอบ พวกเค้ามากยิ่งขึ้นมากกว่าเดิม เพราะว่าความที่เป็นตัวของตัวเองอย่างนี้ วง ARASHI จึงคงยังเป็น IDOL ที่ได้รับความนิยมมาก

Sensei ทุกคนน่ารักมาก และ ดูจะเต็มที่กับงานนี้มาก

ชอบ ตรงที่ให้ Member พูดถึงกันเอง
เพราะว่า FC อย่างเรา ได้รับรู้ถึงความรัก และ ความอบอุ่นของ ทุกสมาชิกในวง
ทุกคนน่ารัก และ ก็รักกันมาก

ชอบที่สุด ที่ วง ARASHI เป็นแบบนี้
เป็น วง ที่ไม่แก่งแย่งกันเด่น ช่วยเหลือกันโดยตลอด

ทุกวันนี้ ระยะเวลาตั้งแต่ตอน เดบิวท์ คงเกินกว่าคำว่า เพื่อน น่าจะเป็น ครอบครัว มากกว่า


ดีใจแทน พี่น้อง ที่ได้ไป สัมผัส กับ บรรยากาศจริงๆ ขอให้ความหวังที่อยากจะไปดู CONCERT ในปีนี้ เป็นจริงค่ะ